วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558

อ้วนลงพุงอ่านทางนี้ วิธีเช็คว่าอาจเป็นโรคไขมันสะสมในตับ ผ่าน 6 คำถามน่ารู้

อ้วนลงพุงอ่านทางนี้ วิธีเช็คว่าอาจเป็นโรคไขมันสะสมในตับ ผ่าน 6 คำถามน่ารู้

ดูเพิ่มเติม ==> http://nisit.co/WZtc

30 มกราคม 2558 18:32 น. อ่าน: 28620 

ที่มา มูลนิธิหมอชาวบ้าน

ภาวะอ้วนลงพุงของคนเราที่เกิดจาก “พฤติกรรมสุขภาพ” พบมากขึ้นในสังคมไทย ส่งผลให้เกิดปัญหาโรคแทรกซ้อนตามมาอีกหลายโรคที่สัมพันธ์กับภาวะอ้วนลงพุง นั่นคือโรคไขมันสะสมในตับ มาทำความรู้จักที่มาของปัญหาไขมันสะสมในตับ การป้องกัน และการแก้ไข ผ่าน ๖ คำถามน่ารู้

 

๑. โรคไขมันสะสมในตับพบได้บ่อยแค่ไหนและลักษณะการดำเนินโรคเป็นไปอย่างไร?

โรคไขมันสะสมในตับจัดเป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจากข้อมูลที่มีการศึกษาพบว่ามีความชุกของโรคไขมันสะสมในตับ สูงถึงร้อยละ ๙-๔๐ และมีความสัมพันธ์กับความชุกของโรคอ้วน ส่วนความชุกของโรคไขมันสะสมในตับที่มีการอักเสบร่วมด้วยนั้นพบร้อยละ ๖-๑๓ ของประชากรทั่วไป

 

ในการศึกษาที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่ามีผู้ป่วยโรคไขมันสะสมในตับสูงถึงร้อยละ ๗๒  ในกลุ่มผู้ป่วยตับอักเสบที่ไม่พบสาเหตุจากไวรัสตับอักเสบบี ซี และแอลกอฮอล์ ส่วนที่เหลือร้อยละ ๒๘ เป็นกลุ่มที่ไม่ทราบสาเหตุ  

โรคนี้พบได้บ่อยขึ้นในผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น คนอ้วน จะพบปัญหาโรคไขมันสะสมในตับหรือ Non-alcoholic fatty liver disease (NAFLD) หรือ Non-alcoholic-steatohepatitis (NASH) ได้ ถึงร้อยละ ๓๗-๙๐ ส่วนในคนที่เป็นเบาหวานพบถึงร้อยละ ๗๒

สรุปง่ายๆ ก็คือ ถ้ามีโรคเบาหวานหรือโรคอ้วนอยู่ จะมีโอกาสพบโรคไขมันสะสมในตับได้มากถึง ๗ ใน ๑๐ ราย

ผู้ป่วยมักไม่มีอาการแต่มาพบแพทย์ด้วยเรื่องที่มีค่าการทำงานของตับผิดปกติจากการตรวจสุขภาพ โดยมีค่าที่สูงขึ้นประมาณ ๑.๕ เท่า และตรวจหาสาเหตุอื่นๆ แล้วไม่พบ เช่น ไวรัสตับอักเสบชนิดบี หรือไวรัสตับอักเสบชนิดซี 

โรคนี้มักมีการดำเนินโรคอย่างช้าๆ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง โดยส่วนใหญ่มักใช้เวลานานเป็น ๑๐ ปีจึงจะเห็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ คือ ภาวะตับแข็ง และการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและเกิดได้ตั้งแต่วัยทำงาน จึงเป็นปัญหาสำคัญในระยะยาว

 

๒. จะรู้ได้อย่างไรว่าอาจเป็นโรคไขมันสะสมในตับ

เราสามารถตรวจตนเองเบื้องต้นได้ดังนี้

 

ส่วนที่ ๑ คือ การประเมินสภาพร่างกายตนเองว่ามีโรคอ้วนหรือไม่ 

วิธีคำนวณ

      โดยใช้ค่าดัชนีมวลกาย (Body mass index: BMI) ที่คำนวณจาก ค่าน้ำหนัก (กิโลกรัม) หารด้วยความสูงยกกำลังสอง (เมตร๒) หรือเขียนสั้น ๆ ว่า

      ดัชนีมวลกาย = น้ำหนัก (กิโลกรัม) หาร (ความสูง x ความสูง) 

      ผลที่ได้จะออกมาเป็น กิโลกรัมต่อตารางเมตร

      ยกตัวอย่างเช่น

      ชายน้ำหนัก ๘๐ กิโลกรัม ความสูง ๑.๖๘ เมตร

      ดัชนีมวลกาย  = ๘๐ หาร (๑.๖๘ x ๑.๖๘) = ๒๘.๓๔ กิโลกรัมต่อตารางเมตร

      เกณฑ์วินิจฉัยสำหรับคนเอเชีย ให้ค่าที่เกิน ๒๘ กก./ตร.ม. (กิโลกรัมต่อตารางเมตร) เป็นภาวะอ้วน ดังนั้น กรณีตัวอย่างชายผู้นี้จึงถือว่ามีโรคอ้วน

 

ส่วนที่ ๒ ตรวจสอบข้อมูลโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับภาวะไขมันเกาะตับ 

ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน ว่าได้รับการรักษาและควบคุมได้ดีหรือไม่

นอกจากนี้ การพบโรคร่วมดังกล่าวซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของภาวะอ้วนลงพุง (metabolic syndrome) จะมีโอกาสเกิดภาวะตับอักเสบและมีพังผืดในตับได้มากกว่าผู้ป่วยที่ไม่มีภาวะอ้วนลงพุง

ส่วนองค์ประกอบของภาวะอ้วนลงพุงนั้น กำหนดเกณฑ์วินิจฉัยไว้ดังนี้ คือ

ก. องค์ประกอบแรกต้องมีโรคอ้วนที่วินิจฉัยโดยใช้เกณฑ์ของคนเอเชียคือ

ผู้ชายมีเส้นรอบเอวอย่างน้อย ๙๐ ซม. (๓๖ นิ้ว)

ผู้หญิงมีเส้นรอบเอวอย่างน้อย ๘๐ ซม (๓๒ นิ้ว)

ข. ร่วมกับเกณฑ์ ๒ ข้อจาก ๔ ข้อต่อไปนี้

๑. ระดับไตรกลีเซอไรด์สูง เกินกว่า ๑๕๐ มก./ดล.

๒. ระดับไขมันคอเลสเตอรอลตัวดี (HDL–cholesterol) โดย

 - ผู้ชายต่ำกว่า ๔๐ มก./ดล.

 - ผู้หญิงต่ำกว่า ๕๐ มก./ดล.

๓. มีความดันเลือดสูง ตั้งแต่ ๑๓๐/๘๕ มม.ปรอท ขึ้นไป หรือเคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคความดันเลือดสูงที่กำลังรับยารักษาอยู่

๔. ระดับน้ำตาลตอนเช้า (อดอาหาร) สูงตั้งแต่ ๑๐๐ มก./ดล. หรือเคยได้รับการวินิจฉัยว่ามีโรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน

 

๓. เมื่อทราบว่าเป็นโรคไขมันสะสมในตับแล้ว จะดูแลสุขภาพอย่างไร?

แพทย์จะมีหลักในการดูแลรักษา ๒ ส่วนคือวิธีรักษาที่ไม่ต้องใช้ยาและการใช้ยา 

วิธีการรักษาที่ไม่ต้องใช้ยานั้นผู้ป่วยต้องดูแลตนเองให้มาก

สำหรับการใช้ยา ปัจจุบันมียาที่อาจพิจารณาใช้ได้อยู่ไม่กี่ชนิด และผลการวิจัยก็พบว่ายาเหล่านี้ช่วยลดการอักเสบของตับได้ แต่ไม่สามารถลดภาวะพังผืดในตับได้ ส่วนควรใช้ยาตัวใด และควรเริ่มยาเมื่อไรนั้นต้องได้รับคำปรึกษาจากแพทย์

 

๔. การดูแลรักษาสุขภาพด้วยตนเองเบื้องต้น

สิ่งสำคัญที่ผู้ป่วยโรคไขมันเกาะตับต้องลงมือปฏิบัติและต้องปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวันบางส่วนจึงจะได้ผลในการรักษา โดยมีรายละเอียดดังนี้

   ๑. งดดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด หรือลดการดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลงจนเลิกดื่ม

   ๒.  หลีกเลี่ยงการใช้ยา อาหารเสริมหรือสมุนไพรที่ไม่จำเป็น เพราะนอกจากมีโอกาสทำให้ตับอักเสบแล้ว ยังอาจทำให้มีไขมันสะสมในตับเพิ่มขึ้นได้ เช่นกลุ่มอาหารเสริม สมุนไพรที่พบว่าทำให้ตับอักเสบได้ เช่น ขี้เหล็ก มะรุม เป็นต้น

   ๓. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยพบว่ามีผลต่อการลดภาวะอักเสบของตับได้อย่างชัดเจน ซึ่งยืนยันได้จากทั้งผลตรวจเลือดค่าทำงานตับหรือผลการเจาะตับ        หากทำได้อย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้ว่าน้ำหนักจะไม่ลดลงในช่วงแรกก็ตาม โดยทั่วไปพบว่ามีผู้ป่วยเพียง ๑ ใน ๓ ที่จะออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอและลดน้ำหนักได้ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงภาวะดื้อต่ออินซูลินที่มีอยู่เดิมให้ลดลงซึ่งช่วยคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดีขึ้น ส่วนหลักการลดน้ำหนักควรวางเป้าหมายไว้ที่ ๑ กิโลกรัมต่อสัปดาห์ (ไม่ควรเกิน ๑.๖ กิโลกรัมต่อสัปดาห์)

 

กิจกรรมหรือชนิดของการออกกำลังกายที่แนะนำสรุปไว้ในตารางที่ ๑ คือเป็นการออกกำลังกายในระดับปานกลาง (moderate intensity physical activity) โดยควรตั้งเป้าหมายให้ทำกิจกรรมดังกล่าวได้นาน ๒๐๐ นาทีต่อสัปดาห์ ระยะเวลา ๖ เดือน (ประมาณ ครึ่งชั่วโมงต่อวัน)

ส่วนวิธีประเมินผลว่าเป็นการออกกำลังกายในระดับ moderate intensity physical activity หรือไม่ให้ใช้อัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งคำนวณจาก...

       ค่า (๒๒๐ ลบ อายุ) คูณ (ร้อยละ ๕๐-๗๐)

       ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยอายุ ๔๐ ปี เมื่อออกกำลังกายในระดับปานกลางแล้วควรมีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่

        (๒๒๐-๔๐) x ๐.๕ (ร้อยละ ๕๐)    = ๙๐

       ถึง (๒๒๐-๔๐) x ๐.๗ (ร้อยละ ๕๐)    = ๑๒๖

       หรือมีค่าระหว่าง ๙๐-๑๒๖ ครั้ง/นาที

       (http://www.cdc.gov/physicalactivity/everyone/measuring/heartrate.html)

 

ตารางที่ ๑ หรือชนิดของการออกกำลังกายที่แนะนำ

อ้างอิง http://www.cdc.gov/physicalactivity/everyone/guidelines/adults.html

http://www.exercise4weightloss.com/fat-burning-exercises-aerobic.html

http://www.holisticonline.com/remedies/weight/weight_calories-burned-by-...

สำหรับการออกกำลังกายในระดับสูง (high intensity physical activity) จะช่วยเผาผลาญไขมันคิดเป็นพลังงานได้ประมาณ ๒ เท่า ของการออกกำลังกายในระดับปานกลาง

 

๔. การควบคุมอาหารและแคลอรี โดยมีหลักการดังนี้

เลือกกินอาหารให้ครบ ๕ หมู่และควบคุมอาหารให้ได้พลังงานพอเพียงเท่าที่ร่างกายต้องการ

โดยทั่วไปควรได้พลังงาน ๓๐ กิโลแคลอรี  ต่อน้ำหนักตัวมาตรฐาน ๑ กก.ต่อวัน หรือ ๓๐ x น้ำหนักตัว

    ตัวอย่างเช่น คนน้ำหนัก ๖๐ กก.

    ๓๐ x ๖๐ กก. = ควรได้พลังงานประมาณ ๑,๘๐๐ กิโลแคลอรีต่อวัน

โดยได้จากอาหาร ๓ มื้อ เฉลี่ยมื้อละ ๖๐๐ กิโลแคลอรี อาจไม่ต้องแบ่งให้เท่ากัน เพราะมื้อเช้าและกลางวัน ควรกินให้ได้พลังงานมากกว่ามื้อเย็น

ผู้ป่วยโรคไขมันสะสมในตับจำเป็นต้องควบคุมพลังงานที่ร่างกายต้องการให้เหลือเพียง ๑,๐๐๐-๑,๒๐๐ กิโลแคลอรีต่อวัน ต่อน้ำหนักตัวไม่เกิน ๙๐ กิโลกรัม

หากน้ำหนักตัวเกิน ๙๐ กิโลกรัม ควรปรับปริมาณพลังงานที่ควรได้ให้ไม่เกิน ๑,๕๐๐ กิโลแคลอรีต่อวัน ชนิดของอาหารควรเลือกให้เหมาะสมดังสรุปปริมาณแคลอรีที่ได้จากอาหารจานเดี่ยวในตารางที่ ๒

 

๕. เลือกกินอาหารอย่างไรให้ควบคุมปริมาณพลังงานที่เหมาะสม?

     ๑. เลือกอาหารว่างและผลไม้ที่มีปริมาณการดูดซึมปริมาณน้ำตาลหรือ Glycemic index ที่ต่ำ

       หลีกเลี่ยงอาหารว่างและผลไม้ที่มีพลังงานที่สูง เช่น เครื่องดื่มที่มีนมเนยผสมปริมาณมากๆ ไอศกรีม ขนมหวานจัด ผลไม้หวานจัด เช่น ทุเรียน ลำไย ที่มีค่า Glycemic index สูง

       ส่วนผลไม้ที่กินได้เพราะปริมาณการดูดซึมปริมาณน้ำตาลต่ำ ได้แก่ กล้วย มะละกอ แอปเปิ้ล เป็นต้น ดังสรุปปริมาณแคลอรีที่ได้ในตารางที่ ๓-๔

      ๒. กินอาหารที่มีปริมาณเส้นใยสูงให้ได้ปริมาณอย่างน้อย ๔๐ กรัมต่อวัน 

 

  ตารางที่ ๒ ตัวอย่างของอาหารจานเดี่ยวที่มีปริมาณพลังงาน (กิโลแคลอรี) กำกับ

อ้างอิง http://nutrition.anamai.moph.go.th/aging/Html/oneplate.html

           http://www.sugarstacks.com/snacks.htm

       ๓. ระลึกเสมอว่าการเผาผลาญพลังงานด้วยการออกกำลังกายต้องใช้เวลาทำอย่างสม่ำเสมอ และต้องทำควบคู่กับการควบคุมปริมาณอาหารที่กินในแต่ละวันด้วย 

ดังนั้น การจดบันทึกชนิดและปริมาณแคลอรีของอาหารที่กินในแต่ละวันจะเป็นประโยชน์ต่อการติดตามผลได้

ตัวอย่างเช่น ถ้ากินข้าวมันไก่เกินที่ควรจะเป็นจำนวน ๑ จาน (๓๐๐ กรัม) จะได้พลังงานเกินที่ต้องการถึง ๕๙๖ กิโลแคลอรี ซึ่งต้องออกกำลังกายในระดับสูง เช่น ด้วยการวิ่งความเร็วประมาณ ๙-๑๒ กม./ชม. นานถึง ๑ ชั่วโมงจึงจะเผาผลาญพลังงานส่วนเกินดังกล่าวได้

รายละเอียดของพลังงานในอาหารแต่ละอย่างมีสรุปไว้ในตารางที่ ๒-๓

จากผลการวิจัยยืนยันว่าผู้ป่วยโรคไขมันเกาะตับที่มีภาวะอักเสบ หากควบคุมน้ำหนักจนลดได้ร้อยละ ๗-๑๐ ในช่วง ๙-๑๒ เดือน ทั้งจากการควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยทำให้ภาวะตับอักเสบดีขึ้น ภาวะดื้อต่ออินซูลินลดลง ค่าไขมันค่าการทำงานตับก็จะดีขึ้นด้วย

ผลของการควบคุมน้ำหนักที่ลดได้มากเท่าใดก็ยิ่งเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นของลักษณะพยาธิวิทยาของตับชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของภาวะพังผืดยังไม่ชัดเจนจากการติดตามผล ๑ ปี

 

๖. จุดมุ่งหมายของการรักษาโรคไขมันสะสมในตับมีอะไรบ้าง?

จุดมุ่งหมายของการรักษามีดังนี้คือ

 •    ป้องกันการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดด้วยการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน

 •    ป้องกันการเกิดภาวะตับแข็งด้วยการลดการอักเสบของตับ

 •    ป้องกันการเกิดมะเร็งที่อาจพบแทรกซ้อนได้

ข้อมูลจาก:

ดูเพิ่มเติม ==> http://nisit.co/WZtc

52

9.5K6

บทความน่าสนใจ

ฮือฮา! เจ้าเจ๋ง ตาย 7 ปี ไม่เน
ฮือฮา! เจ้าเจ๋ง ตาย 7 ปี ไม่เน่าเปื่อย ให้โชคเป็นประจำ พร้อม 
30 มกราคม 2558 20:50 น. อ่าน: 22790

อินเทอร์เน็ตความเร็ว 1.4 telab
อินเทอร์เน็ตความเร็ว 1.4 telabits ต่อวินาที โหลดหนัง HD 44 เ 
30 มกราคม 2558 10:05 น. อ่าน: 38546

อ้วนลงพุงอ่านทางนี้ วิธีเช็คว่
อ้วนลงพุงอ่านทางนี้ วิธีเช็คว่าอาจเป็นโรคไขมันสะสมในตับ ผ่าน 
30 มกราคม 2558 18:32 น. อ่าน: 28620

CopyLEFT© Since 2000-2014 Ohozaa.com โอ้โหซ่าส์ ดอท คอม เว็บนี้มีแต่ให้ LINE ID : ohozaadotcom

ดับเบิ้ล บล็อค (Double Block) เคล็ดลับหุ่นดี กินเท่าไหร่ ก็หารสอง บล็อคแป้ง/ไขมัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น